มหาเถรคันฉ่อง คะฉิ่งสยาดอ
มหาเถรคันฉ่อง กับสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้วองค์เดียวกันไหม ?
ตอบ คนเดียว กันครับ
ในภาษามอญพม่า ออกเสียงว่า
คะฉิ่งสยาดอ /หรือคะฉิ่นสยาดอ
เชื่อกันว่า
ในสมัยก่อนนั้นท่าน พระเจ้าสิริชัยสุระ ตามพงศาวดารไทย หรือในนวนิยายผู้ชนะสิบทิศเรียก แมงจีกะโยดินนรธา เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ตองอู
ช่วงเวลา (พศ..2028– 2053) เป็นชาว คะฉิ่น(กะเหรี่ยง)
กล่าวกันว่า ท่านพอเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็ได้เข้าร่วมทับรบในสมัย พระเจ้าตะเบงชะตี จนได้เป็นแม่ทัพใหญ่ในการรบครั้งสำคัญหลายรอบ จนมาถึงยุคที่พระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราชท่านก็บวชถวายอุทิศ
ให้แก่พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ที่วัดคะฉิ่น(วัดชาวกระหรี่ยง) สมัยที่พระดจ้าบุเรงนองยังทรงเยาว์ ท่านก็ได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ในช่วงสมัยที่ท่านยังเป็นแม่ทัพจับรบ ท่านก็ได้ถวายความรู้ทั้งศิลปะการต่อสู้ไปจนถึงยุทธวิธีต่างๆ อย่างไม่ปิดบังดังศิษย์อาจารย์
จนมาถึงยุคที่พระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราช เห็นว่ายังไม่มีผู้ใครเหมาะสมจึงยกตำแหน่งมหาเถระถวายตามราชประเพณี ที่ต้องมี
มหาเถระ พฤฒาจารย์ อำมาตย์ ราชครู
ตามราชประเพณี
เพราะเห็นว่าท่านมีความเหมาะสม แต่เมื่อท่านได้รับก็ไม่ไยดีใช้ชีวิตเป็นอรัญวาสอยู่ป่าเป็นพระอรัญวาสีตามธรรมเนียมที่วัดท่านได้บวช
และเรียกขนานนามให้ท่านกันว่า "คฉิ่นสยาดอ"(หรืออาจารย์ของชาวคะฉิ่น)
เชื่อกัน ท่านเกิดมาเป็นชาวคะฉิ่นอีกด้วย
มีประวัติที่กล่าวกันว่าท่านเป็นอาจารย์ของ"ตองแจ" หรือพระองค์ดำพระเทวัน(บุตรบุญธรรม) ของพระเจ้าบุเรงนองที่ทรงรับมาจากอโยธิยา
คาดการณ์ว่าเนื่องจากพระเจ้ตะเบงชเวตี้พระองค์ก็ทรงรับพระเจ้าบุเรงนองมาเป็นพระเทวัน(บุตรบุญธรรม)เช่นกัน ภายหลังได้ครองราชสืบต่อ
ส่วนท่านคะฉิ่ยสยาดอก็ตามขบวนทัพพระนเรศวรกลับอโยธยา
เมื่อถึงอะโยธิยาได้รับความรับความเคารพจากพระเจ้าแผ่นดินอย่างสูงสุดยกขึ้นเป็นสมเด็จ(พระ)
ปกครองฝ่ายสงฆ์ไทย ในตำแหน่งที่ว่างอยู่ในขณะนั้น ในยุคปลูกบ้านแปลงเมือง
อีกทฤษฎีหนึ่ง เชื่อว่า ตำแหน่งการปกครองสงฆ์ถือว่าสูงสุดแล้วในขณะนั้น เพราะยังไม่มีชื่อเรียกมากมายในคณะสงฆ์ ที่ต้องเลื่อนลำดับขั้น ไปเรื่อยๆเพื่อดันตำแหน่งสูงสุด
นักวิชาการบางท่านก็ให้เหตุผลว่า ไม่เกี่ยวกัน น่าจะยกฐานาในชั้นสมเด็จเพียงพระองค์เดียว คือพระมหาเถร นัยว่าสมเด็จนี่ก็สูงสุดแล้วไม่มีสมเด็จอื่นมาเทียบได้
สวนป่าที่พระราชทานให้มหาเถรสร้างวัดนั้นถูกเรียกว่าป่าแก้ว โดยพระองค์ดำและชาวบ้านไทย-มอญที่ถูกเกณฑ์กลับมาจากพม่าเป็นกำลังสำคัญ
ภายหลังว่าคณะสงฆ์เกิดแตกแยกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยในวัตรเดิมที่ปฏิบัติ
ฝ่ายหนึ่งกลับเห็นว่า พระสงฆ์ไทยปกครองโดยพระพม่ามอญ ชะรอยภายภาคหน้า จะกลายเป็นพระพม่ารารัญเสียหมด
เรื่องทราบถึงฝ่าพระบาท ก็ตัดสินใจแบ่งที่สังฆมณฑลนั้นเป็นสองฝั่ง(ว่ากันว่าทรงปรึกษามหาเถรและได้รับการถวายแนะนำจากมหาเถรแล้ว)
คือ ฝั่งเข้าไปในป่า ให้เป็นเขตอรัญวาสี หรือพระป่าไป (เชื่อกันว่ามหาเถรอยู่ในเขตนี้)
และฝั่งล่นลงมาใกล้หมู่บ้าน ให้เป็นเขตคามวสี (หรือพระบ้าน
แล้ว แต่งตั้งสมเด็จขึ้นถึงสององค์ มีปรากฏในพงศาวดาร
คือ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว
และ สมเด็จพระวนรัตน์ วัดป่าแก้ว
ซึ่งในคำว่า รัตน์ แปลว่าแก้ว
และคำว่า พน(พนา)กับ วน(วนา) แปลว่าป่า นั่นเอง
แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า มหาเถรคันฉ่อง อยู่ตำแหน่งใน สมเด็จในกันแน่ ส่วนโดยคาดการ จะโยนน้ำหนักที่ สมเด็จพระพนรัตน์มากกว่า เพราะมีบทบาทในส่วนงานราชการของพระมหากษัตรย์อยู่หลายครั้ง หลายครา
เรื่องบทบาทที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ทางศาสนานั้น กล่าวกันว่า เรื่องการโกนคิ้วของพระสงฆ์ไทยที่แปลกกว่า พระสงฆ์ประเทศอื่น เรียกว่ามีที่เดียวในกลุ่มประเทศศาสนาพุทธ
เชื่อกันว่ามาจาก มหาเถรคันฉ่อง นี่แหล่ะครับ
ตลอดทั้งมหาว่านยาวิเศษที่คนไทยรู้จักกันดี เช่นยาจินดามณีเป็นต้น
กับประวัติบางส่วนที่ไม่ตรงกันในประวัติศาสตร์อีกฉบับ
..สามเรื่องนี้ วันหน้าจะมาเล่าให้ฟัง
ขอบคุณที่อ่านกัน
สยา อูสุมิงคละสยาดอ
ဆရာ ဦး သူမင်္ဂလ 14 พค.
ปล.ภาพข้างล่างน่ะยืมเขามาเล่า นะเออ
ตอบ คนเดียว กันครับ
ในภาษามอญพม่า ออกเสียงว่า
คะฉิ่งสยาดอ /หรือคะฉิ่นสยาดอ
เชื่อกันว่า
ในสมัยก่อนนั้นท่าน พระเจ้าสิริชัยสุระ ตามพงศาวดารไทย หรือในนวนิยายผู้ชนะสิบทิศเรียก แมงจีกะโยดินนรธา เป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ตองอู
ช่วงเวลา (พศ..2028– 2053) เป็นชาว คะฉิ่น(กะเหรี่ยง)
![]() |
ภาพประกอบ สรพงษ์ ชาตรี แสดงเป็นพระมหาเถร |
กล่าวกันว่า ท่านพอเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็ได้เข้าร่วมทับรบในสมัย พระเจ้าตะเบงชะตี จนได้เป็นแม่ทัพใหญ่ในการรบครั้งสำคัญหลายรอบ จนมาถึงยุคที่พระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราชท่านก็บวชถวายอุทิศ
ให้แก่พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ที่วัดคะฉิ่น(วัดชาวกระหรี่ยง) สมัยที่พระดจ้าบุเรงนองยังทรงเยาว์ ท่านก็ได้เข้าไปฝากตัวเป็นศิษย์ในช่วงสมัยที่ท่านยังเป็นแม่ทัพจับรบ ท่านก็ได้ถวายความรู้ทั้งศิลปะการต่อสู้ไปจนถึงยุทธวิธีต่างๆ อย่างไม่ปิดบังดังศิษย์อาจารย์
จนมาถึงยุคที่พระเจ้าบุเรงนองขึ้นครองราช เห็นว่ายังไม่มีผู้ใครเหมาะสมจึงยกตำแหน่งมหาเถระถวายตามราชประเพณี ที่ต้องมี
มหาเถระ พฤฒาจารย์ อำมาตย์ ราชครู
ตามราชประเพณี
เพราะเห็นว่าท่านมีความเหมาะสม แต่เมื่อท่านได้รับก็ไม่ไยดีใช้ชีวิตเป็นอรัญวาสอยู่ป่าเป็นพระอรัญวาสีตามธรรมเนียมที่วัดท่านได้บวช
![]() |
มหาเถร คะฉิ่งสยาดอ สรพงษ์ชาตรี แสดง |
และเรียกขนานนามให้ท่านกันว่า "คฉิ่นสยาดอ"(หรืออาจารย์ของชาวคะฉิ่น)
เชื่อกัน ท่านเกิดมาเป็นชาวคะฉิ่นอีกด้วย
มีประวัติที่กล่าวกันว่าท่านเป็นอาจารย์ของ"ตองแจ" หรือพระองค์ดำพระเทวัน(บุตรบุญธรรม) ของพระเจ้าบุเรงนองที่ทรงรับมาจากอโยธิยา
คาดการณ์ว่าเนื่องจากพระเจ้ตะเบงชเวตี้พระองค์ก็ทรงรับพระเจ้าบุเรงนองมาเป็นพระเทวัน(บุตรบุญธรรม)เช่นกัน ภายหลังได้ครองราชสืบต่อ
ส่วนท่านคะฉิ่ยสยาดอก็ตามขบวนทัพพระนเรศวรกลับอโยธยา
เมื่อถึงอะโยธิยาได้รับความรับความเคารพจากพระเจ้าแผ่นดินอย่างสูงสุดยกขึ้นเป็นสมเด็จ(พระ)
ปกครองฝ่ายสงฆ์ไทย ในตำแหน่งที่ว่างอยู่ในขณะนั้น ในยุคปลูกบ้านแปลงเมือง
อีกทฤษฎีหนึ่ง เชื่อว่า ตำแหน่งการปกครองสงฆ์ถือว่าสูงสุดแล้วในขณะนั้น เพราะยังไม่มีชื่อเรียกมากมายในคณะสงฆ์ ที่ต้องเลื่อนลำดับขั้น ไปเรื่อยๆเพื่อดันตำแหน่งสูงสุด
นักวิชาการบางท่านก็ให้เหตุผลว่า ไม่เกี่ยวกัน น่าจะยกฐานาในชั้นสมเด็จเพียงพระองค์เดียว คือพระมหาเถร นัยว่าสมเด็จนี่ก็สูงสุดแล้วไม่มีสมเด็จอื่นมาเทียบได้
สวนป่าที่พระราชทานให้มหาเถรสร้างวัดนั้นถูกเรียกว่าป่าแก้ว โดยพระองค์ดำและชาวบ้านไทย-มอญที่ถูกเกณฑ์กลับมาจากพม่าเป็นกำลังสำคัญ
ภายหลังว่าคณะสงฆ์เกิดแตกแยกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยในวัตรเดิมที่ปฏิบัติ
ฝ่ายหนึ่งกลับเห็นว่า พระสงฆ์ไทยปกครองโดยพระพม่ามอญ ชะรอยภายภาคหน้า จะกลายเป็นพระพม่ารารัญเสียหมด
เรื่องทราบถึงฝ่าพระบาท ก็ตัดสินใจแบ่งที่สังฆมณฑลนั้นเป็นสองฝั่ง(ว่ากันว่าทรงปรึกษามหาเถรและได้รับการถวายแนะนำจากมหาเถรแล้ว)
คือ ฝั่งเข้าไปในป่า ให้เป็นเขตอรัญวาสี หรือพระป่าไป (เชื่อกันว่ามหาเถรอยู่ในเขตนี้)
และฝั่งล่นลงมาใกล้หมู่บ้าน ให้เป็นเขตคามวสี (หรือพระบ้าน
แล้ว แต่งตั้งสมเด็จขึ้นถึงสององค์ มีปรากฏในพงศาวดาร
คือ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว
และ สมเด็จพระวนรัตน์ วัดป่าแก้ว
ซึ่งในคำว่า รัตน์ แปลว่าแก้ว
และคำว่า พน(พนา)กับ วน(วนา) แปลว่าป่า นั่นเอง
แต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่า มหาเถรคันฉ่อง อยู่ตำแหน่งใน สมเด็จในกันแน่ ส่วนโดยคาดการ จะโยนน้ำหนักที่ สมเด็จพระพนรัตน์มากกว่า เพราะมีบทบาทในส่วนงานราชการของพระมหากษัตรย์อยู่หลายครั้ง หลายครา
เรื่องบทบาทที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ทางศาสนานั้น กล่าวกันว่า เรื่องการโกนคิ้วของพระสงฆ์ไทยที่แปลกกว่า พระสงฆ์ประเทศอื่น เรียกว่ามีที่เดียวในกลุ่มประเทศศาสนาพุทธ
เชื่อกันว่ามาจาก มหาเถรคันฉ่อง นี่แหล่ะครับ
ตลอดทั้งมหาว่านยาวิเศษที่คนไทยรู้จักกันดี เช่นยาจินดามณีเป็นต้น
กับประวัติบางส่วนที่ไม่ตรงกันในประวัติศาสตร์อีกฉบับ
..สามเรื่องนี้ วันหน้าจะมาเล่าให้ฟัง
ขอบคุณที่อ่านกัน
สยา อูสุมิงคละสยาดอ
ဆရာ ဦး သူမင်္ဂလ 14 พค.
ปล.ภาพข้างล่างน่ะยืมเขามาเล่า นะเออ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น